ในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2548 ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาสิริวัฒนาพรรณวดี
เสด็จเป็นองค์ประธานเททองหล่อพระศรีรัตนศักยมุนี (หลวงพ่อบุษราคัม) ณ วัดโนนสว่าง
ต.หมากหญ้า อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
ประวัติความเป็นมาในการสร้างพระพุทธรูป
เพื่อเป็นองค์พระประธานในอุโบสถวัดโนนสว่างต.หมากหญ้า อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
มีความเป็นมาว่า พระครูพิพัฒน์วิทยาคม (พระอาจารย์เจริญ ฐานยุตฺโต)
เจ้าอาวาสวัดโนนสว่างก่อนที่ท่านจะดำริถึงการสร้างอุโบสถก็ได้นิมิตเห็นพระพุทธรูป
3 องค์ เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องได้เสด็จมาทางนภากาศในปางขัดสมาธิ
ได้เปล่งแสงรัศมีสว่างไสวไปทั่วทั้งวัด ตามในนิมิตของท่านได้มาหยุดอยู่ตรงหน้า
ท่านจึงได้กราบเรียนถามพระพุทธรูปทรงเครื่องทั้งสามองค์นั้นว่า ท่านเสด็จมาจากไหน
และมาเพื่ออะไร พระพุทธรูปทั้งสามองค์ก็ตอบกับท่านเป็นภาษาเหนือว่า
“มาชุ่มมาเย็นให้” หรือจะนำความเจริญรุ่งเรืองมาให้วัดนี้
พอพระพุทธรูปทั้งสามองค์กล่าวกับท่านเช่นนั้นแล้ว
พลันกลับกลายเป็นแสงสว่างดุจประทีปอันโชติช่วงลอยไปดับลงตรงลานดินกว้างหน้าศาลาการเปรียญซึ่งเป็นอุโบสถในทุกวัน
พอรุ่งเช้าของวันต่อมาขณะที่ท่านนั่งอยู่ในกุฎิ
ก็ได้มีพระเถระซึ่งเป็นที่เคารพนับถืออย่างยิ่งจำนวน 3 รูป
เดินทางมาจากวัดอนาลโยทิพยาราม (ดอยบุษราคัม อ.เมืองพะเยา คือพระราชสังวรญาณ
(พระอาจารย์ไพบูลย์ สุมงฺคโล) แห่งวัดอนาลโยทิพยาราม ดอยบุษราคัมนั้นเอง
โดยที่พระครูพิพัฒน์วิทยาคมไม่ทราบมาก่อนว่าท่านเจ้าคุณจะมาเยี่ยมที่วัดโนนสว่าง
ซึ่งระยะทางจาก จ.พะเยา มายัง จ.อุดรธานี ไกลมาก
เมื่อท่านได้กราบนมัสการหลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคฺโล เรียบร้อยแล้ว
ท่านก็นึงถึงนิมิตของท่านที่คล้ายเหตุการณ์ในวันนี้
ท่านจึงกราบเรียนเล่าเรื่องราวในนิมิตให้หลวงพ่อไพบูลย์สดับฟัง
เมื่อฟังจบหลวงพ่อไพบูลย์ก็ยิ้มคล้ายกับว่าเป็นเรื่องไม่น่าแปลกอะไร
เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจให้กับท่านพระครูยิ่งนัก
อีกนัยหนึ่งเหมือนหลวงพ่อไพบูลย์รู้เรื่องที่จะเล่าถวาย
ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ เป็นพระเถระที่พระครูพิพัฒน์วิทยาคม
ให้ความเคารพและนับถือยิ่ง
หลังจากที่ได้เล่าเนื้อความตามนิมิตถวายให้หลวงพ่อไพบูลย์ฟังเสร็จแล้ว
ไม่นานท่านจึงเดินทางกลับ จ.พะเยา ต่อมาท่านพระครูพิพัฒน์วิทยาคม
ได้ตั้งสัจจะไว้ในใจว่าจะต้องสร้างพระประธานเพื่อประดิษฐานไว้ในอุโบสถ
หน้าตักกว้าง 109 นิ้ว เป็นเนื้อทองสัมฤทธิ์ให้ได้
ในชั้นแรกพระประธานที่ท่านจะให้ช่างปั้นขึ้นมานี้ไม่ใช่หลวงพ่อบุษราคัม
แต่ให้ปั้นตามแบบพระพุทธรูปเก่าองค์หนึ่งซึ่งเป็นพระเนื้อสัมฤทธิ์เก่าแก่
ศิลปะแบบลานช้าง ท่านก็ได้บอกลักษณะของพระพุทธรูปองค์นั้นให้ช่างฟัง
ต่อมาช่างได้ปั้นตามความต้องการของท่าน
เมื่อช่างได้ปั้นขึ้นถึงพระพักตร์ของพระพุทธรูปจึงนิมนต์ท่านมาดู
เมื่อพิจารณาดูแล้วท่านก็บอกกับช่างว่าพระพักตร์ไม่เหมือนเลยไม่เป็นที่พอใจ
จึงให้ปั้นใหม่ ช่างปั้นกี่ครั้ง ๆ ก็ไม่เป็นที่พอใจ
ทำให้ท่านพระครูเกิดความสงสัยขึ้นในใจว่า
“ทำไมปั้นไม่ได้สักทีด้วยว่าฝีมือช่างก็ไม่ธรรมดา”
ท่านจึงพินิจพิจารณาพระพุทธรูปโดยละเอียดอีกครั้งด้วยความประหลาดใจ คิดในใจว่า
“ทำไมถึงปั้นไม่ได้สักที”
ทันใดนั้นกลับมีเสียงหนึ่งดังกังวานแว่วกล่าวกับตัวท่านว่า
“เรามาขออยู่ตั้งนานแล้ว ทำไมไม่ปั้นเรา ทำไมต้องไปปั้นองค์อื่น”
พอเสียงกังวานนั้นหายไปไม่นาน ท่านก็เลยย้อนนึกถึงนิมิตเมื่อคราว
ครั้งก่อน
เมื่อคิดโดยละเอียดถี่ถ้วน จึงเข้าใจในนิมิตธรรมอันประเสริฐนั้น
ต่อมาจึงให้ช่างเลิกปั้นพระพุทธรูปตามแบบองค์เดิม
ให้ปั้นตามแบบดั่งในนิมิตนั้นเอง เป็นที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง
เมื่อช่างเริ่มปั้นทุกอย่างเป็นที่ราบรื่น เมื่อแล้วเสร็จจึงนิมนต์ท่านพระครูมาดู
เมื่อท่านพิจารณาดูแล้วจึงพูดว่า “นี่แหละเหมือนกับที่เห็นในนิมิตเรา”
นับว่าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่งนักสำหรับพระประธานองค์นี้ต่อมาท่านได้ขอให้ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ
(หลวงพ่อไพบูลย์) ถวายพระนามพระปฏิมากรองค์สำคัญ ท่านถวายพระนามว่า
“พระศรีรัตนศักยมุนี” ทราบเรื่องจากท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณในภายหลังว่า
ตัวท่านไม่ได้เป็นผู้ถวายพระนาม แท้จริงผู้ถวายพระนามคือ ท้าวสักกะเทวราช
พระศรีรัตนศักยมุนี หรือที่เรียกอีกนามว่า หลวงพ่อบุษราคัม
องค์นี้ท่านพระครูพิพัฒน์วิทยาคมกล่าวว่า
ภายหน้าจักเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองในเขตนี้
ด้วยว่าเป็นพระพุทธรูปขององค์กษัตริย์ ผู้ที่จะเททองหล่อต้องไม่ใช่สามัญชนธรรมดา
ต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการเปี่ยมล้น
ต้องเป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง
ประดุจพระพุทธรูปองค์สำคัญในครั้งโบราณกาล เช่น หลวงพ่อพระใส พระเสริม พระสุก
ที่เป็นพระคู่บ้านคู่เมือง
ซึ่งพระราชธิดาแห่งกษัตริย์ล้านช้างเป็นผู้สร้างขึ้นเป็นพระพุทธรูปควรแก่การกราบสักการะทั้งในปัจจุบันและในอนาคตกาลชั่วลูกชั่วหลาน นับเป็นพระกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา
สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จเป็นองค์ประธานเททองหล่อพระพุทธปฏิมากรองค์สำคัญ ในวันที่
29 มกราคม 2548 อันนำมาซึ่งความปิติยินดีเป็นล้นพ้นแก่เหล่าพสกนิกร
ชาวอำเภอหนองวัวซอ และชาวจังหวัดอุดรธานีทุกผู้ทุกนาม.